บุคลิกอย่างไร? กด  “Like” ให้ได้งาน
โดย  คุณโสภิดา พืชมงคล


บุคลิก “คลิก” ได้ สร้างความประทับใจในครั้งแรกที่ได้ “พบเห็น” First Impression

Point หลักหรือประเด็นสำคัญของการสัมภาษณ์งานของผู้สมัครงาน ที่สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้สัมภาษณ์เปรียบเสมือน “กุญแจ” ดอกแรก ที่จะไขเพื่อเปิดประตูบ้าน ประตูบริษัท ประตูโรงงาน ดังนั้นจะต้องทำอย่างไร? ให้เกิด First Impression ความประทับใจครั้งแรก

 

“บุคลิกภาพ” สามารถตอบโจทย์ปัญหานี้ ได้เป็นอย่างดี หลายๆ ครั้งที่เราพบเห็นคนบางคน หน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรสะดุดตา ประเภทสามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไปเลยทีเดียว แต่เมื่อเริ่มพูดจา ปราศรัย เยื้องกายไปมา ทำไม? ช่างน่ามหัศจรรย์เช่นนี้ กริยาท่าทางน่าดู มีเสน่ห์ โดดเด่นเหมือนมีแรงดึงดูด ให้ชวนค้นหา การพูดจา เจรจา ช่างน่าฟัง น่าติดตาม น่าหลงใหล สิ่งเหล่านี้แหละที่เรียกว่า “บุคลิกภาพ” 

 

คำว่า “บุคลิกภาพ” มีรากศัพท์ มาจากคำว่า บุคลิก (อ่านว่า บุก-คะ-ลิก) มาจากภาษาบาลีว่า ปุคฺคลิก (อ่านว่า ปุก-คะ-ลิ-กะ) หมายถึง จำเพาะคน. ใช้สมาสกับคำอื่นได้คำใหม่หลายคำ เช่น บุคลิกภาพ (อ่านว่า บุก-คะ-ลิก-กะ-พาบ) หมายถึง สภาพนิสัยจำเพาะคน บุคลิกลักษณะ (อ่านว่า บุก-คะ-ลิก-ลัก-สะ-หฺนะ) หมายถึง ลักษณะจำเพาะตัวของแต่ละคน คำว่าบุคลิกลักษณะนี้ บางทีก็พูดสั้น ๆ ว่า บุคลิก เช่น ลูกอย่านั่งหลังโกง จะเสียบุคลิก. คำว่า บุคลิก แม้จะมาจากคำบาลีว่า ปุคคลิก (อ่านว่า ปุก-คะ-ลิ-กะ) ซึ่งมี ตัว คอ ๒ ตัว แต่ในภาษาไทยเขียน ตัว คอ ตัวเดียว (ที่มา www.royin.go.th)

 

เมื่อทราบความหมายของคำว่า “บุคลิกภาพ” แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลแต่ละบุคคล คราวนี้ถึงเวลาที่จะต้องทำการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลงตัวเองกันแล้วค่ะ เพราะบุคลิกภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณเชื่อหรือไม่? ถ้าไม่เชื่อลองอ่านและติดตามไปเรื่อยๆๆ และทดลองทำ ปฏิบัติ อย่างต่อเนื่อง รับรองจะพบว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

สำหรับบทความนี้ จะเน้นสำหรับผู้ที่จบการศึกษาที่จะต้องสัมภาษณ์งาน หรือผู้ที่ต้องสัมภาษณ์งาน ต้องการความมั่นใจ ก่อนเข้าสู่สังเวียนการแข่งขัน สิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงคือ “การนำเสนอ” ตนเอง การสัมภาษณ์งานเหมือนกับการนำเสนอสินค้าชนิดหนึ่ง เพียงแต่ว่า สินค้าชนิดนี้สามารถเคลื่อนไหวได้ เดินได้ วิ่งได้ พูดได้ ต่างจากสินค้าชนิดอื่นๆ และที่สำคัญสินค้าชนิดนี้ ในปัจจุบันมีคู่แข่งจำนวนมาก เพราะ จำนวนคนล้นจำนวนงาน ดังนั้นระดับการแข่งขันจึงค่อนข้างสูงมาก หากไม่พร้อม อย่าคิด!! ลงสนามเด็ดขาด อย่าหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ให้จำคำของพระพุทธองค์ที่ว่า “อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ” มีความว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน 

 

การมีบุคลิกภาพที่ดี เหมือนกับการสร้าง “เปลือก” ห่อหุ้มที่สวยงาม มีเสน่ห์ น่าสนใจ คงจะเคยเห็นการห่อของขวัญ แพ็คกิ้งต่างๆ ของขนมญี่ปุ่นใช่ไหมค่ะ? นั่นหละค่ะ ดึงดูดที่สุด น่าสนใจ  สวยงาม ต้องแวะเดินเข้าไปดู ไปชม และหลังจากนั้นมักจะเกิดกิเลส ทำให้ต้องซื้อกลับมา แต่หลังจากเปิดเปลือกออกมา แล้วเห็นเนื้อใน หรือได้ชิม ลิ้มลอง แทบจะเป็นลม สลบ พร้อมเฝ้าถามตนเองว่า “ซื้อมาได้อย่างไร?” แต่ตอนตัดสินใจซื้อ ไม่ได้คิดด้วยเหตุผล แต่ตัดสินใจซื้อด้วย อารมณ์ เพราะสิ่งที่กระทบกับสายตาครั้งแรกนับว่า มหัศจรรย์ เลยทีเดียว 

 

ซึ่งการสัมภาษณ์งานนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะหากสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์เห็น และรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ  ย่อมเลือกสิ่งนั้นอย่างแน่นอน แต่ในกรณีนี้ไม่ได้หมายรวมกับเนื้อในของขนมญี่ปุ่นนะค่ะ เพียงเปรียบเปรยให้เห็นภาพเท่านั้น ส่วนเรื่องของเนื้อใน คือ ส่วนที่เป็นตัวตน ความรู้ ความสามารถต่างๆ จะต้องศึกษาหาความรู้ และเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในลำดับถัดไป

 

บุคลิกภาพ แบ่งได้ เป็น 2 ประเภท คือ บุคลิกภาพภายใน  และบุคลิกภาพนอก 

บุคลิกภาพภายนอก คือ สิ่งที่สามารถมองเห็นจากภายนอกหรือทางด้านสรีระ คือ รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย กริยาท่าทาง การพูด 

บุคลิกภาพภายใน คือ  สิ่งที่มองเห็นได้ยาก อยู่ภายในจิตใจ อุปนิสัยใจคอต่างๆ แก้ได้ยาก เช่น ความมั่นใจ ความถนัด ความคิด ค่านิยม เป็นต้น

ซึ่งในบทความนี้ จะพูดถึง “บุคลิกภาพภายนอก” โดยจะเน้นเกี่ยวกับ “กริยาท่าทาง” ของผู้สมัครงานในการสัมภาษณ์งาน จะต้องทำอย่างไร? ปฏิบัติอย่างไร?  ให้ผู้สัมภาษณ์ “กด Like” ให้ได้งาน   ก่อนอื่นต้องสำรวจตัวเองก่อน ว่ามีข้อบกพร่องในส่วนใดบ้าง และทำการกำจัดจุดอ่อนเหล่านั้นเสีย บางคนอาจจะ งง งง ไม่เข้าใจ หาจุดอ่อนตัวเองไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่าอะไร คือ จุดอ่อนนั่นเอง ค่อยๆ สำรวจค่ะ 

จุดสำคัญของการมีบุคลิกภาพที่ดี คือ ตัวตรง ลำตัวจะต้องตั้งฉาก หรือ ทำมุม 90 องศา กับพื้นโลก ในทุกๆ กริยาท่าทางที่มีการเคลื่อนไหว การเดิน การยืน การนั่ง  ยกเว้น การนอน ค่ะ มิฉะนั้นคงจะไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนแน่ๆ การมีลำตัวที่ตั้งตรง ทำให้มองดู สง่า สมาร์ท ดูดี หากสามารถทำให้ลำตัวตรงได้ตลอดเวลา ปัญหาอย่างหนึ่งจะไม่เกิดขึ้นเลยคือ เมื่ออายุมาก หลังงอ หลังค่อม เหมือนกับแม่มดในนิทานปรัมปรา แต่ยังคงดูดี มีสง่าราศี สมวัย ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

 

START TO LOOK SMART เรามาเริ่มกันที่ “การยืน” กันก่อนนะค่ะ ก่อนอื่นจะต้องหาสมดุลของร่างกายในการยืน ลองมาทำ Work shop กันซะหน่อยดีไหมค่ะ เริ่มกันไปทีละขั้นตอน การวางเท้าจะต้องหาจุดยืนที่เหมาะ มั่นคง ไม่ใช่ยืนแล้วเหมือนตุ๊กตาล้มลุก เดี๋ยวเซ เดี๋ยวล้ม อย่างนี้จัดว่ามีปัญหาในการยืน หรืออาจจะเป็นปัญหาของโรคที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว เพราะคนปกติสามารถที่จะทรงตัวได้ในขณะยืน ซึ่งการวางเท้าเป็นจุดสำคัญของการยืน จะต้องกางขาทั้งสองข้างแยกออกจากกันพอประมาณ ให้มีความสมดุลกับร่างกายส่วนอื่นๆ และให้อยู่ในระนาบเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน อวัยวะที่จะต้องเช็คให้อยู่ในระนาบเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ได้แก่ หู ไหล่ ตาตุ่ม กรณีของผู้หญิงอาจจะเพิ่ม สะโพก เพราะอวัยวะเหล่านี้ เป็นอวัยวะในแต่ละช่วงของร่างกาย หากอยู่ในระนาบเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ย่อมแสดงถึงความสมดุล และที่สำคัญ “ตัวตรง” แค่นี้ ท่าทางการยืนย่อมดูดี สง่างามแล้ว 

 

บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วการยืนแบบนางงาม นางแบบ ที่เรียกกันว่า ยืนแบบสิบนาฬิกา หรือ บ่ายสองโมง เป็นยังไง ส่วนใหญ่การยืนแบบนี้ เป็นการยืนของบรรดาสาวๆ บรรดาสุภาพสตรีทั้งหลาย ซึ่งมีลักษณะการวาเท้าคล้ายกับเข็มนาฬิกาที่บอกเวลา 10 นาฬิกา หรือ 14 นาฬิกา (บ่ายสองโมง) โดยจะต้องใช้ขาข้างที่ถนัดเป็นหลัก ใช้แทน เข็มยาว ในตำแหน่งเลข 12 ส่วนอีกข้างหนึ่งใช้แทนเข็มสั้น (ขาด้านไม่ถนัด) แยกปลายเท้าไปในตำแหน่งเลข 10 หรือเลข 2 ตามความถนัดของขา (ถ้าหากถนัดขาขวาให้เท้าขวาอยู่ในตำแหน่งเลข 12 ปลายเท้าซ้ายอยู่ในตำแหน่งเลข 10 (10 นาฬิกา) ส่วนท่านที่ถนัดขาซ้ายให้เท้าซ้ายอยู่ในตำแหน่งเลข 12 ส่วนปลายเท้าอยู่ในตำแหน่งเลข 2 (บ่าย 2)) โดยให้ส้นเท้าของเข็มยาวอยู่ระหว่างร่องเท้าของเข็มสั้น ซึ่งการยืนแบบนี้  จะทำให้หลังตรงโดยอัตโนมัติ และดูมีส่วนเว้า ส่วนโค้ง ***หมายเหตุ ควรมีนาฬิกาประกอบขณะฝึกปฏิบัติ จะได้เห็นภาพชัดขึ้น

 

นอกจากนี้ การยืนยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ “มือ” ไม่รู้ว่าจะวางไว้ที่ไหนถึงจะเหมาะสม ส่วนใหญ่มักจะประสานมือกันและวางไว้ที่เป้ากางเกง ไม่น่าดูสักเท่าไหร่ ควรจะวางไว้ขนาบกับลำตัว ถ้าหากต้องการวางไว้ด้านหน้า ควรจะใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับข้อมืออีกข้างหนึ่ง ความสูงควรอยู่ระดับช่วงท้อง หรือบริเวณเอว ไม่ควรนำไปไพล่ไว้ด้านหลัง เพราะจะทำให้ดูเป็น ท.ทหาร อดทน พร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา

 

“การเดิน” จะเดินอย่างไร? ให้ดูเหมือน “พญาหงส์” ให้ใช้หลักนี้ค่ะ “อกผาย ไหล่ผึ่ง น่องตึง หน้าตั้ง” เพราะลักษณะการเดินแบบนี้ เป็นลักษณะการเดินของ “หงส์” ซึ่งดูสวยงาม สง่างาม ในท่วงท่า เวลาย่างกาย  จุดสำคัญอยู่ที่ “การวางเท้า” อีกเช่นกัน  เพราะการเดินที่ถูกต้องปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า หรืออาจจะแยกกันเพียงเล็กน้อย พอให้สามารถทรงตัวและเกิดสมดุลของร่างกายเท่านั้น หากแยกปลายเท้ามากเกินไป ลักษณะท่าทางที่ออกมานั้น จะดูไม่สง่า (ลองทดลองทำดู) ท่าทางจะออกมาเหมือนเป็ด มากกว่าหงส์ คะ “การก้าวเท้า” ควรจะก้าวออกไปประมาณ 1 ฟุต ขณะก้าวเท้า ให้มีความรู้สึกว่า “น่องตึง” “การแกว่งแขน” ควรแกว่งแขนตามธรรมชาติ ไม่ควรแกว่งสูงเกินไปเหมือนกำลังเดินสวนสนาม หรือแกว่งน้อยเกินไป จนเหมือนไม่ได้แกว่งเลย ทำให้ความสมดุลของการเดิน และท่าทางต่างๆ ผิดธรรมชาติ นอกจากนี้การเดินที่ดี จะต้องเดินอย่างที่เรียกว่า “หน้าตั้ง” โดยให้ “คาง” ขนานกับพื้น เพราะถ้าหาก เดินเชิดหน้า จะมองดูว่าเป็น คนหยิ่ง อวดดี ไม่มีสัมมาคารวะ แต่ถ้าหาก เดินก้มหน้า ยิ่งดู Look Bad ทีเดียว คล้ายกับคนที่ขาดความมั่นใจ หมดอาลัยในชีวิต จิตตก ซึ่งท่าทางการเดินเหล่านี้ ถ้าสามารถแก้ไข ปรับปรุงให้ได้ตามแบบ รับรองว่า เพียงเดินผ่านก้อมีคนเหลียวมองแล้วค่ะ

 

“การนั่ง” ลักษณะการนั่งที่ดี จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังถูกสัมภาษณ์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่นานที่สุดในขณะกำลังให้สัมภาษณ์ ก่อนอื่นต้องรู้เกี่ยวกับมารยาทของการนั่งก่อน หากผู้ที่ต้องการสัมภาษณ์ยังไม่เชิญให้นั่ง ไม่ควร!! ที่จะนั่งเด็ดขาด เพราะจะทำให้เสียคะแนนตั้งแต่ต้น ถือว่าไม่รู้กาลเทศะ มารยาททางสังคม ควรจะต้องได้รับคำเชิญให้นั่งก่อน แล้วจึงค่อยนั่งในเวลาต่อมา 

 

เมื่อทางผู้สัมภาษณ์เชิญนั่ง ค่อยๆ ย่อตัวลงนั่ง โดยใช้ขาด้านหน้าแตะเก้าอี้ก่อน เพื่อเป็นการเช็คดูว่า เก้าอี้อยู่ในระยะที่จะนั่งได้หรือไม่ หลังจากนั้นค่อยๆ ย่อตัวลงนั่ง โดยใช้พื้นที่ในการนั่งเพียงครึ่งหนึ่งของเก้าอี้ ไม่ควรนั่งเต็มก้น พิงพนัก เพราะการนั่งเต็มก้น พิงพนัก จะทำให้ไหล่ห่อดูไม่สง่า เหมือนการนั่งคุยกันสบาย สบาย ไม่มีพิธีรีตอง และยังทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเชื่องช้า หรือถ้าหากนั่งในพื้นที่ที่น้อยเกินไปของเก้าอี้ อาจทำให้เสียสมดุล หกขะเมน ตีลังกาได้ง่าย ควรที่จะนั่งประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่เก้าอี้ และควรนั่งตัวตรง “การวางขา” ของผู้ชาย ควรวางในระยะห่างพอประมาณ ส่วนของผู้หญิงการวางขา เข่าควรจะชิดกัน แล้วไพล่ไปด้านข้างก้อได้ ข้อควรระวังสำหรับผู้หญิงที่นุ่งกระโปรงสั้นๆ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะค่ะ

“การไหว้” เอกลักษณ์ประจำชาติไทย  การไหว้ ถือเป็นมารยาทที่สืบทอดกันมาช้านาน เป็นการแสดงถึงการมีสัมมาคารวะ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การไหว้ยังสื่อความหมายอีกหลายอย่าง เช่น เป็น การทักทาย การขอบคุณ การขอโทษ โดยธรรมเนียมของไทย มีคำว่ากล่าวที่ว่า “ไปมา ลาไหว้” ซึ่งในปัจจุบันเด็กยุคใหม่มักไม่ค่อยให้ความสนใจ ใส่ใจ มากนัก จำเป็นที่จะต้องทำการปลูกฝังให้เกิดการสืบสานมารยาทของ “การไหว้” แล้วการไหว้ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?

การไหว้ เป็น การประนมมือทั้งสองข้าง ให้ลักษณะมือเป็นรูปดอกบัวตูม โดยการไหว้แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1.ไหว้พระ 2.ไหว้ผู้ใหญ่ อาวุโส  3.ไหว้บุคคลทั่วไปและผู้เสมอกัน ซึ่งลักษณะการไหว้จะแตกต่างกัน 

1.ไหว้พระ ประนมมือขึ้น ก้มศีรษะ จรดนิ้วหัวแม่มือที่ระหว่างคิ้ว นิ้วชี้แตะเหนือหน้าผาก ก้มศีรษะให้หน้าขนานกับพื้น ค้อมตัวลงพอประมาณ

2.ไหว้ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส เช่นเดียวกับ การไหว้พระ แต่นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก นิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว ค้อมตัวน้อยกว่าการไหว้พระ

3.ไหว้บุคคลทั่วไปและผู้เสมอกัน ประนมมือขึ้น ก้มศีรษะเล็กน้อย นิ้วหัวแม่มือ จรดปลายคาง นิ้วชี้แตะปลายจมูก ค้อมหลังพอประมาณ

หลังจากที่ได้รู้ เข้าใจ เกี่ยวกับ “การไหว้” ที่ถูกวิธี ควรจะฝึกปฏิบัติ อย่างสม่ำเสมอ เพราะ การไหว้ เป็น การสร้างเสน่ห์ สร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีทีเดียว โดยเฉพาะผู้น้อย เพราะจะได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ เพราะ จะบ่งบอกเกี่ยวกับ การอ่อนน้อม ถ่อมตนด้วย

เป็นไงกันบ้างค่ะ หลังจากได้อ่านเกี่ยวกับ กริยาท่าทางต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น คงจะทำให้เข้าใจเกี่ยวกับ บุคลิกภาพได้มากยิ่งขึ้น บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้จริงๆๆ ค่ะ 

สุดท้ายนี้ อยากฝากแนวทางการพัฒนาบุคลิกภาพ เพื่อจะได้นำไปฝึกปฏิบัติ ต่อยอดต่อไปในอนาคต เริ่มต้นด้วยการสำรวจตนเอง จดบันทึกรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับ จุดอ่อน จุดบกพร่องต่างๆ ซึ่งอาจจะสอบถามจากคนคุ้นเคย คนกันเอง แต่คนประเภทผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย อย่าได้ไปสอบถามเชียวน่ะค่ะ เพราะนอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังจะทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม ควรจะขอคำแนะนำจากบุคคลที่มีความรู้ในการพัฒนาบุคลิกภาพ หรือที่เราเห็นบุคลิกภาพแล้วรู้สึกประทับใจ อาจจะหาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะ การอ่าน สามารถต่อยอดได้อีกมาก และสิ่งสำคัญที่จะต้องทำ คือ ฝึกปฏิบัติ หรือจะหาใครมาช่วยฝึก จะดียิ่งขึ้น รับรองได้เลยว่า ไปสัมภาษณ์งานที่ไหน? ผู้สัมภาษณ์งาน กด Like ให้แน่นอนค่ะ

 


JobDST Job จ็อบดีเอสที สมัครงาน งาน หางาน หางานดี งานราชการ งานบัญชี งานนอกเวลางานอิสระ งานบริษัท มหาชน เอกชน รัฐวิสาหกิจ บรรษัท ค้นหาคนค้นหางาน ค้นหาพนักงานรับสมัครงาน รับสมัครพนักงาน ค้นหาคนดี ค้นหาคนเก่ง แหล่งรวบรวมข้อมูล บริษัทชั้นนำคนหางานทั่วประเทศ